วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติส่วนตัว


ชื่อนางสาวเพ็ญประภา  งามฉลาด   ชื่อเล่น จุ๊

ที่อยู่ 42 หมู่ 7 บ้านไทยเดิมน้อย ตำบลสำเภาลูน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ 

คติประจำใจ : ถ้ามัวแต่เดินตามรอยเท้าของผู้อื่น เราก็จะไม่มีรอยเท้าเป็นของตนเอง

รหัสนักศึกษา  55125460209

สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ

คณะวิทยาการจัดการ


ตลาดชายแดนช่องจอม


           ตลาดช่องจอม เป็นตลาดที่อยู่ติดชายแดน ไทย-เขมร จากตลาดช่องจอมไปเขมร ห่างจากชายแดนเขมรเพียง1,200 เมตร  ตลาดช่องจอมอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 40-50 ก.ม. (โดยประมาณ) บรรยากาศสองข้างทางไปยังตลาดช่องจอม สดชื่นเพราะยังเป็นทุ่งนา กับป่าไม้อยู่ วันที่ไปโชคดีตรงที่เดินตลาดไม่มีฝน และผู้คนก็น้อยด้วย เลยเดินสบาย ๆ แต่ในตลาดพ่อค้าแม่ค้านี่พูดภาษาเขมรกันนะ เจอลูกค้าคนไทยค่อยส่งภาษาไทยมาแบบพูดไทยไม่ค่อยชัดเท่าไร มาดูภาพบรรยากาศตลาดกันดีกว่า
ผ้าม่าน ราคาไม่แพงมาก แล้วแต่ขนาด และเนื้อผ้า 

รองเท้า ราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ราคาไม่แพงมาก

รถจักรยาน ขายทั้งปลีกแหละส่ง

บรรยากาศในตลาดชายแดนช่องจอม
น่าหนาวแล้ว คนมาเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสองกันคึกคักเลยที่เดียว
           เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแหล่งที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาจับจ่ายสินค้า ซึ่งที่ทำเงินให้กับประเทศมากมาย สินค้าก็จะมีทั้งค่าปลีกแหละส่ง  เช่น รองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้ามือสอง โทรศัพท์ รถจักรยาน ผ้าม่าน เป็นต้น ตลาดแห่งนี้เปิดทำการค้าขายและสัญจรไปมาทุกวันเวลา 8.00-16.00 น. (อนุญาตให้ข้ามแดนเฉพาะคนไทยเท่านั้น) 
              

ปราสาทยายเหงา จ.สุรินทร์



               ปราสาทยายเหงา ตั้ง อยู่ที่บ้านภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 2077 (สายสุรินทร์-สังขะ) ระยะทาง 49 กิโลเมตร จากแยกอำเภอสังขะเข้าทางหลวงหมายเลข 2124 (สังขะ-บัวเชด) ตรงต่อไปจนถึงบ้านภูมิโปนอีก 10 กิโลเมตร จะเห็นปราสาทอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ ปราสาทภูมิโปน ประกอบด้วยโบราณสถาน 4 หลัง คือ ปราสาทก่ออิฐ 3 หลัง และก่อศิลาแลง 1 หลัง มีอายุการก่อสร้างอย่างน้อยสองสมัย ปราสาทก่ออิฐหลังใหญ่และหลังทางทิศเหนือสุด นับเป็นปราสาทแบบศิลปะเขมรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือราวพุทธศตวรรษที่ 13
บริเวณด้านหน้าปราสาท
บริเวณด้านหลังปราสาท
              ส่วนปราสาทอิฐหลังเล็กที่ตั้งตรงกลาง และปราสาทที่มีฐานศิลาแลงทางด้านทิศใต้ นั้นสร้างขึ้นในสมัยหลังปราสาทภูมิโปน คงสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนา ฮินดูไศวนิกายเช่นเดียวกับศาสนสถานแห่งอื่นในรุ่นเดียวกัน แม้ไม่พบรูปเคารพซึ่งควรจะเป็นศิวลึงค์อยู่ภายในปรางค์ แต่ที่ปรางค์องค์ใหญ่ยังมี ท่อโสมสูตร คือ ท่อน้ำมนตร์ที่ต่อออกมาจากแท่นฐานรูปเครรพ ในห้องกลางติดอยู่ที่ผนังในระดับ พื้นห้อง
การเดินทาง
การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 2077 (สายสุรินทร์-สังขะ) ระยะทาง 49 กิโลเมตร จากแยกอำเภอสังขะเข้าทางหลวงหมายเลข 2124 (สังขะ- บัวเชด) จนถึงบ้านภูมิโปนอีก 10 กิโลเมตร จะเห็นปราสาทอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ


วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปราสาทภูมิโปน จ.สุรินทร์



            
ความเป็นมาของปราสาทภูมิโปน
                 ปราสาทภูมิโปนประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง  และฐานปราสาทศิลาแลงอีก1 หลัง  ตั้งเรียงกันจากเหนือไปใต้ ปราสาทอิฐองค์ที่ 3 ซึ่งเป็นปรางค์ประธาน เป็นปราสาทหลังใหญ่  ก่อด้วยอิฐไม่สอปูน มีเสาประดับกรอบประตูและทับหลังทำด้วยหินทราย  ใต้หน้าบันเหนือทับหลังขึ้นไปมีลายรูปใบไม้ม้วน  รูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างปราสาทประธานเทียบได้กับปราสาทขอมสมัยก่อนพระนคร ร่วมสมัยกับปราสาทหลังที่ และเมื่อกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง ได้พบจารึกภาษาสันสกฤต  อักษรปัลลวะ ซึ่งเคยใช้ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13  ซึ่งถือเป็นจารึกรุ่นแรกๆ เก่าแก่ที่สุดคือ จารึกเขาน้อย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว  พุทธศักราช 1180 และจารึกเขาวัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว



           
              ปัจจุบันที่เหลืออยู่ของปราสาทมีเพียงส่วนเดียวที่ใหญ่ที่สุด รายละเอียดบนปราสาทแห่งนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก คำว่า ภูมิ มาจาก ภาษาเขมร แปลว่าหมู่บ้าน หรือดินแดน คำว่า โปน แปลว่าซ่อนตัวไม่ให้ใครหาพบ จึงหมายถึงนครลับ หรือที่แอบรวบรวมกำลังกองทัพ ชื่อเดิมของปราสาทภูมิโปน ในปี พ.ศ. 2443 คือ บันเตีย ซึ่งหมายถึง เมืองที่มีกำลังทหารป้องกัน
 ตำนานเนียงเด๊าะทม
              ตำนานเนียงเด๊าะทม หรือ เนียง ด็อฮ ทม มีว่า ที่สระลำเจียก ห่างจากตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร มีกลุ่มต้นลำเจียกขึ้นเป็นพุ่มๆ ต้นลำเจียกที่สระน้ำแห่งนี้ไม่เคยมีดอกเลย ในขณะที่ต้นอื่นๆนอกสระต่างก็มีดอกปกติ    ความผิดปกติของต้นลำเจียกที่สระลำเจียกหน้าปราสาท เป็นที่มาของตำนานปราสาทภูมิโปนการสร้างเมืองและการลี้ภัยของราชธิดาขอม






วนอุทยานเขาสวาย จ.สุรินทร์


กราบไหว้สิ่งศักด์สิทธิ์
                   กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญของชาวจังหวัดสุรินทร์มาแต่โบราณ เมื่อถึงเดือนห้าของทุกปี บรรพบุรุษชาวสุรินทร์จะถือว่าเป็นงานประเพณีหยุดงาน ซึ่งประเพณีการหยุดงานตามช่วงระยะเวลาดังกล่าว ในทุกปีชาวจังหวัดสุรินทร์จะร่วมมือร่วมใจจัดงานบุญประเพณีขึ้นเขาสวาย ประกอบกับวันดังกล่าว ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ

พระใหญ่หรือพระพุทธสิรนทรมงคล

ระฆังมหากุศล 1,080 ใบ
เคาะระฆังเพื่อความเป็นสิริมงคล
กราบไหว้พระใหญ่หรือพระพุทธสิรนทรมงคล
ลักษณะที่ตั้งวนอุทยานเขาสวาย จ.สุรินทร์
               “เขาสวายหรือ พนมสวายตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาสวาย ในพื้นที่ตำบลนาบัวและตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ประมาณ 22 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ติดต่อกัน รอง ๆ บริเวณ มีเวิ้งน้ำใหญ่ ทิวทัศน์สวยงาม มีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด มียอดเขาที่สำคัญ 3 ยอด
              ยอดที่ 1 เรียกว่า ยอดเขาชาย(พนมเปร๊าะ) สูง 220 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรทรมงคลและระฆังมหากุศล 1,080 ใบ จาก 1,080 วัด
              ยอดที่ 2 เรียกว่ายอดเขาหญิง(พนมสรัย) สูง 210 เมตร เป็นที่ตั้งของวัดพนมศิลาราม
              ยอดเขาที่ 3 เรียกว่า เขาคอก (พนมกรอล) สูง 150 เมตร เป็นที่ตั้งศาลาอัฐฐะมุข ซึ่งเป็นอนุสรณ์ฉลองครบรอบ 200 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง เขาสวาย

การเดินทาง
               การเดินทางมาพนมสวาย จากอำเภอเมืองสุรินทร์ จังกวัดสุรินทร์ สะดวกมาก โดยไปทางรถยนต์ สายสุรินทร์-ปราสาท ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร ถึงบ้านกะน็อบ แยกไปตามเส้นทาง รพช. สายบ้านกะน็อบ-บ้านสวาย เป็นทางลูกรังอัดแน่น 6 กิโลเมตร รวมระยะทางจากอำเภอเมืองมาถึงวนอุทยานพนมสวาย ประมาณ 20 กิโลเมตร ถนนขึ้นเขาสวายนั้นเป็นถนนลาดยาง 2 เลน กว้าง 5 เมตร






วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร อ.บัวเชด จ.สุรินทร์






               ความเป็นมา
               ในปี พ.ศ.2536 กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น (ปัจจุบัน กรมป่าไม้ อยู่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้ประกาศบริเวณพื้นที่ป่าเป็นเขตพุทธอุทยาน ให้ดำเนินโครงการส่งเสริมพระพุทธศาสนา เพื่ออนุรักษ์ป่าไม้และพัฒนาสิ่งแวดล้อม ตามความคิดริเริ่มของพลเอกเชษฐา ฐานะจาโร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.กกล.สุรนารี โดยมี เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 
               

                                                            รูปปั้นกวางดูโดดเด่นที่ริมหน้าผา วัดเขาศาลา
มองออกไปไกล ๆ คือเทือกเขาพนมดงเร็ก เขตแดนไทย-เขมร
รูปปั้นกวางถ่ายใกล้ริมหน้าผา และรูปปั้นหลวงปู่มั่น

นักท่องเที่ยว ที่เที่ยว "วัดเขาศาลา"
เพิงหินตั้งเทินกันบนคอคอดที่ริมหน้าผา  เหมือนพระธาตุอินทร์แขวน
                 สถานที่ท่องเที่ยวอีกแหล่งหนึ่ง  คือ  วัดเขาศาลา”   อำเภอบัวเชด   ติดชายแดนเขมร จังหวัดสุรินทร์     เป็นการไปเที่ยวชมภูผาท้าลมหนาวบนเขา  เมื่อขึ้นไปยืนที่หน้าผาสูง ที่วัดเขาศาลาก็จะมองเห็นทิวเขาพนมดงเร็ก  ตะเข็บชายแดนเขมรอยู่ลิบ    จินตานาการได้เลยว่า   แผ่นดินไทยตามแนวชายแดนยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก   บนหน้าผา มีวิวทิวทัศน์ให้ดูสวยงามมาก  มีก้อนหินซ้อนเทินกันหมิ่นเหม่รูปทรงแปลกๆ  ที่นักถ่ายภาพไม่ควรพลาด  เมื่อถ่ายภาพจุใจแล้ว   ก็ให้ย้อนลงไปดูแผ่นก้อนหินสลักรอยพระพุทธบาทเป็นฝีมือของขอมโบราณ 

พระพุทธรูปนาคปรก องค์ใหญ่มีศาลาขนาบสองข้างใกล้หน้าผา

รอยพระพุทธบาทเบื้องขวา  ศิลปะขอม
                    ทางลงไปดูรอยพระพุทธบาท   ให้ขับรถลงจากวัดย้อนลงมาประมาณ 500 ม. เมื่อเห็นแท้งน้ำแล้วก็ให้จอดรถ แอบไว้ข้างทาง   เพื่อเดินเข้าป่าตามทางแยกซ้ายมือ ประมาณ 100 เมตร  เมื่อไปถึง  ก็จะทึ่ง  ตลึงกับก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเอวคอด แต่บนแผ่นเพิงหินก้อนนั้น  มีการแกะสลักเป็นรอยพระพุทธบาท ขนาดใหญ่ ขนาดยาว 320 เมตร และกว้าง ช่วงปลายนิ้ว 150 เมตร ช่วงส้นเท้า 70 ซม. ภายในฝ่าพระบาทแกะเป็นตารางขนาด 8 ซม. มีรูปสัตว์นานาชนิดอยู่ภายในตาราง  ที่เห็ดชัด ก็มี ปู ปลา  แมงป่อง  นก เสือ งู  และอีกเป็นร้อยชนิด ต้องไปดูเอาเองให้เห็นกับตา   แกะดอกบัวบานขนาดใหญ่ 2 ดอก ไว้ที่ช่วงส้นเท้า และฝ่าเท้าช่วงบน    เมื่อไปเห็นก็จะเป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนักว่าเหตุใดขอมจึงมาแกะสลักรูปรอยพระพุทธบาทเบื้องขวา อันสวยงามไว้ ณ ที่ป่าแห่งนี้   



ทุ่งทานตะวัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์

ทุ่งทานตะวันบานสะพรั่ง ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
 ทุ่งทานตะวัน


              ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ได้ปลูกต้นทานตะวัน เพื่อเป็นกิจกรรมในการเรียนรู้และเป็นการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดสุรินทร์ ใช้พื้นที่ปลูก ประมาณ 8 ไร่ ปลูกช่วงปลายฝน ต้นหนาว เพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อยใจ ผู้ที่เดินทางผ่านไปมา จะหยุดรถมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นที่เดียวของจังหวัดสุรินทร์ที่ปลูกต้นทานตะวัน สำหรับให้นักท่องเที่ยวแวะมาชม และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนเดินทางกลับบ้าน มีทั้งลูกเล็กเด็กแดง บรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาว ตลอดจนนักเรียน นิสิตนักศึกษา กระทั่งพ่อแม่พาลูกๆมาถ่ายภาพกันอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน


นักท่องเที่ยวที่เข้ามาถ่ายรูป และชมภาพบรรยากาศทุ่งทานตะวัน
         เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแหล่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ ที่สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก และเข้ามาชมภาพบรรยากาศทุ่งทานตะวันที่เหลืองอร่ามเต็มทุ่ง เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว และยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สำหรับผู้ที่ผ่านไปผ่านมา



วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์ ประจำปี 2557



บุพเฟ่ต์เลี้ยงช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ความเป็นมา 

           เมื่อปี พ.ศ. 2498 มีการรวมช้างทั้งหมดในจังหวัดสุรินทร์ ขึ้นเป็นครั้งแรกมีการรวมกันประมาณ 200 เชือก ที่อำเภอท่าตูม โดยนายอำเภอท่าตูม คือ นายวินัย สุวรรณกาศ เป็นผู้จัดขึ้น ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจมากนายอำเภอจึงดำริจัดงานช้างขึ้นครั้งแรกในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2503 ซึ่งเป็นการฉลองที่ว่าการอำเภอใหม่ โดยจัดบริเวณสนามบินเก่าอำเภอท่าตูม (ปัจจุบันคือที่ตั้งโรงเรียนประชาเสริมวิทย์) โดยการจัดงานในครั้งนั้นมีรายการแสดง การเดินขบวนแห่ช้าง การคล้องช้างการแข่งขันช้างวิ่งเร็ว และยังมีการแสดงรื่นเริงอื่น ๆ ประกอบอีกด้วย เช่น มีการแข่งเรือ, แข่งขันกีฬาอำเภอ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะได้มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศสนใจมาก 


บุพเฟ่ต์เลี้ยงช้าง 

                มีการเตรียมจัดโต๊ะอาหารเลี้ยงช้าง (บุพเฟ่ต์ช้าง) ความยาวกว่า 400 เมตร น้ำหนักอาหารกว่า 55 ตัน และที่ขาดไม่ได้คือ มีการนำผ้าไหมพื้นเมืองสุรินทร์ความยาวกว่า 2,000 เมตร มาประดับตกแต่งโต๊ะอาหารช้างให้มีความสวยงามแปลกตามากยิ่งขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจะได้ทึ่งกับความแสนรู้น่ารักของบรรดาช้างน้อยใหญ่ที่มาร่วมงาน ช่วยสร้างความแปลกใหม่และให้ประสบการณ์ที่ดี ให้กับนักท่องเที่ยวและบรรดาควาญช้างอีกด้วย ซึ่งเราคาดว่า นักท่องเที่ยวจะเกิดการรับรู้และสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวยังโครงการโลกของช้าง  เพื่อจะได้สัมผัสกับบรรยากาศ และวิถีชีวิตคนเลี้ยงช้าง และช้างจำนวนมากได้อย่างใกล้ชิด


การแสดงช้าง
       โดยการแสดงช้างในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 54 ตรงกับวันเสาร์ที่ 15 และวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2557 ณ สนามแสดงช้าง ระหว่างเวลา 08.00-11.00 น. วันละ 1 รอบ ซึ่งในปีนี้ได้ปรับปรุงรูปแบบทั้งอัฒจันทร์นั่งชมที่กลมกลืนกับธรรมชาติ และการแสดงให้มีความกระชับสมบูรณ์และต่อเนื่อง แต่ยังคงความยิ่งใหญ่ตระการตาของฉากการแสดงในแต่ละฉากได้อลังการเลยทีเดียว



วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557


   "วันนพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิ"   



        จังหวัดสุรินทร์ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ ได้จัดงานวันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิ  ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม จนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน นี้ ณ บริเวณสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเฉลิมพระชนม์ 80 พรรษา เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์และเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์สุรินทร์ ให้เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้แก่ประชาชนชาวสุรินทร์
        นอกจากนี้  ยังส่งเสริมให้ประชาชนหันมาสนใจดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น จึงได้จัดงานวันพฤกษศาสตร์และวันข้าวใหม่หอมมะลิขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ ด้วยการนำไม้ดอก ไม้ประดับนานาชนิด มาจัดแสดงให้ผู้ร่วมงานได้ชม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ในการปลูกไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ เป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก และเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดของผู้ผลิต ผู้ค้าพันธุ์ไม้ให้กับประชาชนผู้สนใจด้วย โดยได้เปิดให้เข้าเที่ยวชมงานได้ฟรี

        ซึ่งภายในงานนั้นก็จะมีสินค้า (O TOP) มากมายให้เราได้เลือกชมภายในงานที่มาจากแหล่งต่างๆของคนในจังหวัดสุรินทร์ที่ได้นำเอาสินค้ามาให้เราเลือกซื้อเลือกชมได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซรั่มบำรุงหน้าจากข้าวหอมมะลิ ขายขวดละ 590 บาท



วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

สารคดีพื้นบ้านตำนานแซนโฎนตา

ประเพณีแซนโฎนตา ประจำปี 2557

ประวัติความเป็นมา
แซน หมายถึงการเซ่นไหว้ การบวงสรวง โฎนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ประเพณีแซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ ตำนานที่สืบทอดมานานกว่าหลายศตวรรษ ของชนชาวพื้นเมืองสุรินทร์


           ประเพณีแซนโฎนตา คืออีกประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญและปฏิบัติสืบทอดติดต่อกันมายาวนานนับ พันปีของชนชาวพื้นเมืองสุรินทร์   ที่แสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ความรัก ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติรวมถึงชุมชนต่างๆ โดยจะประกอบพิธีกรรมตรงกับวันแรม 14 ค่ำเดือน10 ของทุกปีเมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10  ลูก หลานชาวพื้นเมืองเขมรสุรินทร์ที่ไปทำงานหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่น ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล  ต่างพร้อมใจกันเดินทางกลับมารวมญาติเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกหมู่บ้าน 



 เครื่องแซนโฎนตา (เครื่องเซ่นผีปู่ตา-เขมร)ในเบ็นตูจ และเบ็นทมนั้นสิ่งของที่ใช้ในพิธีจะเหมือนกันคือ ทุกบ้านจะทำขนม ข้าวต้ม กระยาสารท ข้าวปลาอาหาร


พิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ในพิธีแซนโฏนตา

             พิธีกรรม ในเย็นวันขึ้น 14 ค่ำ ชาวบ้านจะนำเครื่องแซนโฏนตาไปวางบนกลางผ้าขาว ซึ่งปูลาดไว้กลางห้องเรือนที่กลางหมู่บ้าน หรือที่ศาลโดนตาประจำหมู่บ้าน บางแห่งนำไปรวมกันที่ศาลาวัดที่ทำพิธีแซนโฏนตา แล้วพวกลูกหลานมานั่งล้อมวงอยู่ รอบๆ ข้างผ้าขาวพร้อมกันแล้วจุดธูปเทียนบูชาเอ่ยชื่อปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไป เชิญให้มากินเครื่องเซ่นทั้งที่ตายไปนานแล้ว และไม่รู้จักชื่อก็นึกเชิญในใจด้วยทางเจ้าพิธีนำเอาสุรามารินใส่แก้ว หรือจอกพรมไปตามสำรับอาหาร ปากก็กล่าวอันเชิญผีปู่ย่าตายายมารับประทานอาหาร เมื่อได้เวลาก็จุดยาสูบวางไว้ สักครู่ ใหญ่ สมมติว่า กินเสร็จแล้วจะแบ่งข้าวปลาอาหารหมากพลู บุหรี่อย่างละเล็กละน้อยใส่ห่อกระดาษหรือใบตองแล้วเหวี่ยงไปไกลๆ เรียกว่า ปะจีร” (ออกไปเสีย) เชื่อว่าลูกหลานได้พาห่อข้าวปลาอาหารนี้ฝากไปให้กินระหว่างทาง หรือไปฝากผู้ที่ไม่ได้มารับเครื่องสังเวยในครั้งนี้ จากนั้นจึงยกเครื่องเซ่นออกจากที่ตั้งได้ แล้วเลี้ยงกันในระหว่างหมู่ญาติสู่กันกิน



ขวานช้างที่เข้าร่วมพิธีแซนโฎนตา ทั้งหมด 9 เชือก เพื่อความเป็นสิริมงคล


ขบวนแห่ที่เข้าร่วมกิจกรรมงานพิธีแซนโฏนตา


สถานที่แซนโฎนตา ณ อนุสาวรีย์สุรินทร์ภัคดี ศรีณรงค์จางวาง

สถานที่ทำพิธีแซนโฎนตา จะจัดทำบุญที่วัด (ทำบุญถวายจังหันพระสงฆ์)และนำอาหารเครื่องเซ่นมาเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษที่ในเรือนบ้านของเจ้าพิธีที่ จัดไว้ หรือที่ศาลโดนตาคือศาลผีปู่ตา ซึ่งเป็นศาลที่อยู่ของวิญญาณบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน หากหมู่บ้านใดไม่มีศาลโฏนตา ก็ จะจัดทำพิธีแซนโฎนตาที่ในวัด

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

แซนโฎนตา

แซนโฎนตา




 คำว่า “แซนโฎนตา” เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร “แซน” แปลว่า การเซ่นไหว้ การอุทิศ หรือบวงสรวง ส่วนคำว่า “โฎนตา” แปลว่า ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว



         ความสำคัญ และประโยชน์ของการประกอบพิธีแซนโฎนตา ก็เพื่อถือปฏิบัติตามประเพณีที่สืบต่อกันมานานของบรรพบุรุษชาวอำเภอขุขันธ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ทั่วทุกสารทิศ จะเดินทางกลับมารวมญาติ และมาทำบุญที่บ้านเกิดเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา ร่วมกันทำบุญกรวดน้ำอุทิศ  ส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ และญาติของตนเองที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เป็นโอกาสที่จะได้ทำดีตามหลักพระพุทธศาสนา โดยการบริจาค ให้ทาน และฟังเทศน์ ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสปราศจากความเศร้าโศก ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก  ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน


       พิธีการแซนโฎนตา มีขึ้นในวันแรม ๑๔ - ๑๕ ค่ำของเดือน ๑๐ ทุกปี ซึ่งตรงกับวันสารทใหญ่ของชาวพุทธนั่นเอง บรรพบุรุษชาวขุขันธ์มีความเชื่อว่า ช่วงนี้ในเวลากลางคืนจะเป็นช่วงที่มีลมพัดจากทางทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ซึ่งสอดคล้องกับที่จะได้ลอยเรือส่งอาหารไปถึงพวกเปรตที่อยู่ทาง ทิศใต้ อันที่จริงก่อนจะถึงวันทำพิธีแซนโฎนตา หรือที่ชนเผ่าเขมรอำเภอขุขันธ์เรียกว่า “เบ็ญธม” ซึ่งตรงกับ วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ทุกปีนั้น ใน ช่วงระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ ถึงก่อนวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ (ชาวเขมรเชื่อว่าเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ประตูยมโลกจะเปิดและอนุญาตให้ผีในยมโลกเดินทางมาเยี่ยมญาติได้) 
ชาวบ้านจะพากันไปวัดเพื่อประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และญาติที่ล่วงลับ ฟังพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เป็นต้น เหลืออีก ๑ - ๒ วันก่อนจะถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมการจัดทำพิธีแซนโฎนตา โดยทำขนมหลากหลายชนิด มีข้าวต้มมัด ขนมเทียน เป็นต้น เพื่อเอาไปทำบุญที่วัด และเป็นของฝากให้ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกัน





         ความสำคัญ และประโยชน์ของการประกอบพิธีแซนโฎนตา ก็เพื่อถือปฏิบัติตามประเพณีที่สืบต่อกันมานานของบรรพบุรุษชาวอำเภอขุขันธ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ทั่วทุกสารทิศ จะเดินทางกลับมารวมญาติ และมาทำบุญที่บ้านเกิดเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา ร่วมกันทำบุญกรวดน้ำอุทิศ  ส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ และญาติของตนเองที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เป็นโอกาสที่จะได้ทำดีตามหลักพระพุทธศาสนา โดยการบริจาค ให้ทาน และฟังเทศน์ ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสปราศจากความเศร้าโศก ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก  ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน

       พิธีการแซนโฎนตา มีขึ้นในวันแรม ๑๔ - ๑๕ ค่ำของเดือน ๑๐ ทุกปี ซึ่งตรงกับวันสารทใหญ่ของชาวพุทธนั่นเอง บรรพบุรุษชาวขุขันธ์มีความเชื่อว่า ช่วงนี้ในเวลากลางคืนจะเป็นช่วงที่มีลมพัดจากทางทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ซึ่งสอดคล้องกับที่จะได้ลอยเรือส่งอาหารไปถึงพวกเปรตที่อยู่ทาง ทิศใต้ อันที่จริงก่อนจะถึงวันทำพิธีแซนโฎนตา หรือที่ชนเผ่าเขมรอำเภอขุขันธ์เรียกว่า “เบ็ญธม” ซึ่งตรงกับ วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ทุกปีนั้น ใน ช่วงระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ ถึงก่อนวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ (ชาวเขมรเชื่อว่าเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ประตูยมโลกจะเปิดและอนุญาตให้ผีในยมโลกเดินทางมาเยี่ยมญาติได้) 
ชาวบ้านจะพากันไปวัดเพื่อประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และญาติที่ล่วงลับ ฟังพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เป็นต้น เหลืออีก ๑ - ๒ วันก่อนจะถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมการจัดทำพิธีแซนโฎนตา โดยทำขนมหลากหลายชนิด มีข้าวต้มมัด ขนมเทียน เป็นต้น เพื่อเอาไปทำบุญที่วัด และเป็นของฝากให้ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกัน



น้ำตกถ้ำเสือ

น้ำตกถ้ำเสือ

น้ำตกถ้ำเสือประกอบด้วยป่าดิบแล้งที่ยังมีความชุ่มชื้นอยู่เล็กน้อย ยังพอเห็นผลพวงจากเม็ดฝนบ้างเช่นเห็ดต่างๆ อาทิเห็ดถ้วยแชมเปญ หรือว่านดอกดิน เป็นต้น สัตว์เลื้อยคลานที่พบบ่อยที่สุดก็คือจิ้งเหลนดินจุดดำ Scincella melanosticta แต่จิ้งเหลนจุดดำที่นี่ไม่มีลายไม่มีจุดให้เห็นเหมือนกับพรรคพวกของเขาเท่าไหร่ก็สร้างความแปลกใจให้กับผมในระดับหนึ่ง น้ำในน้ำตกถ้ำเสือยังเป็นสีเหลืองขุ่นเหมือนกับใครเอานมข้นหวานไปละลาย ผมไม่แน่ใจว่าน้ำตกที่นี่เคยใสบ้างหรือไม่เพราะไม่มีคนท้องถิ่นให้ถามไถ่ บรรยากาศลำธารของน้ำตกถ้ำเสือประกอบด้วยความร่มรื่นของแมกไม้และหินก้อนใหญ่มากมายเป็นหลัก บางช่วงจะไม่เห็นน้ำเลยเพราะลำน้ำมุดลงกองหินและไปโผล่อีกที่ ผมชวนกุ๊กชัยช่วยกันลากอวนปากแคบ ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่ติดขึ้นมาก็มีเพียงลูกปลาก้าง และกุ้งเข็บสีแปลกๆ จนเมื่อมั่นใจว่าไม่ได้อะไรแล้วพวกเราจึงเดินทางกลับไปหาช้อนปลากัดลูกทุ่งสุรินทร์ต่อ