วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

สารคดีพื้นบ้านตำนานแซนโฎนตา

ประเพณีแซนโฎนตา ประจำปี 2557

ประวัติความเป็นมา
แซน หมายถึงการเซ่นไหว้ การบวงสรวง โฎนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ประเพณีแซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ ตำนานที่สืบทอดมานานกว่าหลายศตวรรษ ของชนชาวพื้นเมืองสุรินทร์


           ประเพณีแซนโฎนตา คืออีกประเพณีหนึ่งที่มีความสำคัญและปฏิบัติสืบทอดติดต่อกันมายาวนานนับ พันปีของชนชาวพื้นเมืองสุรินทร์   ที่แสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ความรัก ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติรวมถึงชุมชนต่างๆ โดยจะประกอบพิธีกรรมตรงกับวันแรม 14 ค่ำเดือน10 ของทุกปีเมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10  ลูก หลานชาวพื้นเมืองเขมรสุรินทร์ที่ไปทำงานหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่น ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล  ต่างพร้อมใจกันเดินทางกลับมารวมญาติเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกหมู่บ้าน 



 เครื่องแซนโฎนตา (เครื่องเซ่นผีปู่ตา-เขมร)ในเบ็นตูจ และเบ็นทมนั้นสิ่งของที่ใช้ในพิธีจะเหมือนกันคือ ทุกบ้านจะทำขนม ข้าวต้ม กระยาสารท ข้าวปลาอาหาร


พิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ในพิธีแซนโฏนตา

             พิธีกรรม ในเย็นวันขึ้น 14 ค่ำ ชาวบ้านจะนำเครื่องแซนโฏนตาไปวางบนกลางผ้าขาว ซึ่งปูลาดไว้กลางห้องเรือนที่กลางหมู่บ้าน หรือที่ศาลโดนตาประจำหมู่บ้าน บางแห่งนำไปรวมกันที่ศาลาวัดที่ทำพิธีแซนโฏนตา แล้วพวกลูกหลานมานั่งล้อมวงอยู่ รอบๆ ข้างผ้าขาวพร้อมกันแล้วจุดธูปเทียนบูชาเอ่ยชื่อปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไป เชิญให้มากินเครื่องเซ่นทั้งที่ตายไปนานแล้ว และไม่รู้จักชื่อก็นึกเชิญในใจด้วยทางเจ้าพิธีนำเอาสุรามารินใส่แก้ว หรือจอกพรมไปตามสำรับอาหาร ปากก็กล่าวอันเชิญผีปู่ย่าตายายมารับประทานอาหาร เมื่อได้เวลาก็จุดยาสูบวางไว้ สักครู่ ใหญ่ สมมติว่า กินเสร็จแล้วจะแบ่งข้าวปลาอาหารหมากพลู บุหรี่อย่างละเล็กละน้อยใส่ห่อกระดาษหรือใบตองแล้วเหวี่ยงไปไกลๆ เรียกว่า ปะจีร” (ออกไปเสีย) เชื่อว่าลูกหลานได้พาห่อข้าวปลาอาหารนี้ฝากไปให้กินระหว่างทาง หรือไปฝากผู้ที่ไม่ได้มารับเครื่องสังเวยในครั้งนี้ จากนั้นจึงยกเครื่องเซ่นออกจากที่ตั้งได้ แล้วเลี้ยงกันในระหว่างหมู่ญาติสู่กันกิน



ขวานช้างที่เข้าร่วมพิธีแซนโฎนตา ทั้งหมด 9 เชือก เพื่อความเป็นสิริมงคล


ขบวนแห่ที่เข้าร่วมกิจกรรมงานพิธีแซนโฏนตา


สถานที่แซนโฎนตา ณ อนุสาวรีย์สุรินทร์ภัคดี ศรีณรงค์จางวาง

สถานที่ทำพิธีแซนโฎนตา จะจัดทำบุญที่วัด (ทำบุญถวายจังหันพระสงฆ์)และนำอาหารเครื่องเซ่นมาเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษที่ในเรือนบ้านของเจ้าพิธีที่ จัดไว้ หรือที่ศาลโดนตาคือศาลผีปู่ตา ซึ่งเป็นศาลที่อยู่ของวิญญาณบรรพบุรุษประจำหมู่บ้าน หากหมู่บ้านใดไม่มีศาลโฏนตา ก็ จะจัดทำพิธีแซนโฎนตาที่ในวัด

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

แซนโฎนตา

แซนโฎนตา




 คำว่า “แซนโฎนตา” เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร “แซน” แปลว่า การเซ่นไหว้ การอุทิศ หรือบวงสรวง ส่วนคำว่า “โฎนตา” แปลว่า ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว



         ความสำคัญ และประโยชน์ของการประกอบพิธีแซนโฎนตา ก็เพื่อถือปฏิบัติตามประเพณีที่สืบต่อกันมานานของบรรพบุรุษชาวอำเภอขุขันธ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ทั่วทุกสารทิศ จะเดินทางกลับมารวมญาติ และมาทำบุญที่บ้านเกิดเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา ร่วมกันทำบุญกรวดน้ำอุทิศ  ส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ และญาติของตนเองที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เป็นโอกาสที่จะได้ทำดีตามหลักพระพุทธศาสนา โดยการบริจาค ให้ทาน และฟังเทศน์ ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสปราศจากความเศร้าโศก ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก  ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน


       พิธีการแซนโฎนตา มีขึ้นในวันแรม ๑๔ - ๑๕ ค่ำของเดือน ๑๐ ทุกปี ซึ่งตรงกับวันสารทใหญ่ของชาวพุทธนั่นเอง บรรพบุรุษชาวขุขันธ์มีความเชื่อว่า ช่วงนี้ในเวลากลางคืนจะเป็นช่วงที่มีลมพัดจากทางทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ซึ่งสอดคล้องกับที่จะได้ลอยเรือส่งอาหารไปถึงพวกเปรตที่อยู่ทาง ทิศใต้ อันที่จริงก่อนจะถึงวันทำพิธีแซนโฎนตา หรือที่ชนเผ่าเขมรอำเภอขุขันธ์เรียกว่า “เบ็ญธม” ซึ่งตรงกับ วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ทุกปีนั้น ใน ช่วงระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ ถึงก่อนวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ (ชาวเขมรเชื่อว่าเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ประตูยมโลกจะเปิดและอนุญาตให้ผีในยมโลกเดินทางมาเยี่ยมญาติได้) 
ชาวบ้านจะพากันไปวัดเพื่อประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และญาติที่ล่วงลับ ฟังพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เป็นต้น เหลืออีก ๑ - ๒ วันก่อนจะถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมการจัดทำพิธีแซนโฎนตา โดยทำขนมหลากหลายชนิด มีข้าวต้มมัด ขนมเทียน เป็นต้น เพื่อเอาไปทำบุญที่วัด และเป็นของฝากให้ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกัน





         ความสำคัญ และประโยชน์ของการประกอบพิธีแซนโฎนตา ก็เพื่อถือปฏิบัติตามประเพณีที่สืบต่อกันมานานของบรรพบุรุษชาวอำเภอขุขันธ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ทั่วทุกสารทิศ จะเดินทางกลับมารวมญาติ และมาทำบุญที่บ้านเกิดเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา ร่วมกันทำบุญกรวดน้ำอุทิศ  ส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ และญาติของตนเองที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เป็นโอกาสที่จะได้ทำดีตามหลักพระพุทธศาสนา โดยการบริจาค ให้ทาน และฟังเทศน์ ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสปราศจากความเศร้าโศก ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก  ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน

       พิธีการแซนโฎนตา มีขึ้นในวันแรม ๑๔ - ๑๕ ค่ำของเดือน ๑๐ ทุกปี ซึ่งตรงกับวันสารทใหญ่ของชาวพุทธนั่นเอง บรรพบุรุษชาวขุขันธ์มีความเชื่อว่า ช่วงนี้ในเวลากลางคืนจะเป็นช่วงที่มีลมพัดจากทางทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ซึ่งสอดคล้องกับที่จะได้ลอยเรือส่งอาหารไปถึงพวกเปรตที่อยู่ทาง ทิศใต้ อันที่จริงก่อนจะถึงวันทำพิธีแซนโฎนตา หรือที่ชนเผ่าเขมรอำเภอขุขันธ์เรียกว่า “เบ็ญธม” ซึ่งตรงกับ วันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ทุกปีนั้น ใน ช่วงระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ ถึงก่อนวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐ (ชาวเขมรเชื่อว่าเมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ประตูยมโลกจะเปิดและอนุญาตให้ผีในยมโลกเดินทางมาเยี่ยมญาติได้) 
ชาวบ้านจะพากันไปวัดเพื่อประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และญาติที่ล่วงลับ ฟังพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เป็นต้น เหลืออีก ๑ - ๒ วันก่อนจะถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมการจัดทำพิธีแซนโฎนตา โดยทำขนมหลากหลายชนิด มีข้าวต้มมัด ขนมเทียน เป็นต้น เพื่อเอาไปทำบุญที่วัด และเป็นของฝากให้ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกัน



น้ำตกถ้ำเสือ

น้ำตกถ้ำเสือ

น้ำตกถ้ำเสือประกอบด้วยป่าดิบแล้งที่ยังมีความชุ่มชื้นอยู่เล็กน้อย ยังพอเห็นผลพวงจากเม็ดฝนบ้างเช่นเห็ดต่างๆ อาทิเห็ดถ้วยแชมเปญ หรือว่านดอกดิน เป็นต้น สัตว์เลื้อยคลานที่พบบ่อยที่สุดก็คือจิ้งเหลนดินจุดดำ Scincella melanosticta แต่จิ้งเหลนจุดดำที่นี่ไม่มีลายไม่มีจุดให้เห็นเหมือนกับพรรคพวกของเขาเท่าไหร่ก็สร้างความแปลกใจให้กับผมในระดับหนึ่ง น้ำในน้ำตกถ้ำเสือยังเป็นสีเหลืองขุ่นเหมือนกับใครเอานมข้นหวานไปละลาย ผมไม่แน่ใจว่าน้ำตกที่นี่เคยใสบ้างหรือไม่เพราะไม่มีคนท้องถิ่นให้ถามไถ่ บรรยากาศลำธารของน้ำตกถ้ำเสือประกอบด้วยความร่มรื่นของแมกไม้และหินก้อนใหญ่มากมายเป็นหลัก บางช่วงจะไม่เห็นน้ำเลยเพราะลำน้ำมุดลงกองหินและไปโผล่อีกที่ ผมชวนกุ๊กชัยช่วยกันลากอวนปากแคบ ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่ติดขึ้นมาก็มีเพียงลูกปลาก้าง และกุ้งเข็บสีแปลกๆ จนเมื่อมั่นใจว่าไม่ได้อะไรแล้วพวกเราจึงเดินทางกลับไปหาช้อนปลากัดลูกทุ่งสุรินทร์ต่อ